Your Story

การแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป

ชื่อ: วีรภัทรา วงศ์แกล้ว / Evangeline

“ชีวิตวัยมัธยมเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด สำคัญที่สุด เราควรใช้ชีวิตมัธยมของเราให้เต็มที่” เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยมาก พอจะขึ้น ม.6 ก็ทำให้เรากลับมาคิดกับตัวเองว่า เราใช้ชีวิตวัยเรียนเต็มที่รึยัง ได้ทำสิ่งที่อยากทำแล้วรึยัง แต่พอมาคิดทบทวนดูแล้ว เรามีสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำเยอะมาก ทำให้เราเสียดายกับช่วงเวลาที่ผ่านมา เรากลับมาทบทวนตัวเองว่าแล้วทำไมเราไม่ทำละ เราชอบเต้น แล้วก็อยากลองไปคัดหลี หรือแม้แต่กิจกรรมในห้องบางอย่างที่เราอยากทำ แต่เราก็ไม่ทำ เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดเลยคงเป็นเพราะ เราไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แล้วก็มั่วแต่ไปแคร์สายตาคนอื่นว่าเขาจะคิดยังไง บวกกับการเป็นคนขี้อายเป็นทุนเดิมด้วย ทำให้ทุกอย่างยากขึ้น ทำให้เราไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ เราปิดกั้นตัวเองจากหลาย ๆ โอกาสที่เราควรจะได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อค้นหาตัวเอง ทั้งที่มันควรจะเป็นช่วงเวลาที่เราได้ลองทำทุกอย่าง แต่เราก็เสียโอกาสเหล่านั้นไปแล้ว เรื่องที่ 1 เราอยากพูดคือเรื่องความมั่นใจ ตอนยังเด็กเราก็มีความมั่นใจปกติเหมือนทุกคน แต่ก็เจอเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ความมั่นใจลดลงเรื่อย ๆ เช่น ตอนเราอยู่ ป.1 มีกิจกรรมที่โรงเรียน ครูให้เด็กแต่งชุดมาเองจากบ้านเพื่อมาแสดง แต่มันแปลกมากที่ทุกคนใส่ชุดคล้าย ๆ กันหมด (แต่ครูไม่ได้บังคับว่าให้ใส่ชุดแบบไหน) ก็คือชุดเดรสฟูฟ้อง พอเราขึ้นห้องมาครูก็ถามเราเลยว่า “นี่เธอแต่งตัวอะไรของเธอเนี่ย” เพราะชุดเราไม่เหมือนคนอื่น เราใส่แค่เสื้อยืดกับกระโปรงแบบที่เราชอบ ไม่ใช่ชุดเดรสอลังการ ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมครูต้องพูดทำให้เราอาย และหมดความมั่นใจขนาดนั้น การที่เด็กเล็ก ๆ แค่ ป.1 จะแต่งตัวแบบที่เขาชอบ ที่เขามั่นใจที่สุด แต่มันแค่ไม่เหมือนคนอื่นมันผิดตรงไหน เพราะเราก็ไม่ได้ชอบใส่ชุดเดรสเหมือนคนอื่น แล้วครูก็ไม่ได้บังคับว่าให้แต่งตัวยังไง เพราะฉะนั้นเด็กจะแต่งตัวยังไงก็ได้ หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ ที่เราโดนทักเรื่องการแต่งตัว การทำผม และยังมีเหตุการณ์ที่เราทำอะไรผิดพลาด แล้วเราอายมาก ซึ่งเป็นอีกชนวนสำคัญที่ทำให้ความมั่นใจของเราลดลง ไม่ว่าจะเป็นการพรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในชีวิต ที่เรายืนใบ้กินอยู่หน้าห้อง แล้ว Teacher ก็พูดว่า “ZERO” แล้วเราก็เดินกลับที่ หรือการที่เราชู้ตลูกบอลผิดฝั่งในวันกีฬาสี 2 รอบ แล้วก็อีกเหตุผลที่ทำให้เราหมดความมั่นใจที่สุดคงจะเป็น ช่วงที่เราเริ่มโตเป็นสาว เริ่มมีหน้าอก เพราะตอนเด็กเราจะได้ยินเพื่อนพูดบ่อยมากว่าการมีหน้าอกเป็นเรื่องที่หน้าอายอะไรทำนองนี้ ซึ่งเราก็เป็นเหมือนทุกคนที่เริ่มอาย กลัวคนมอง ขาดความมั่นใจ และเริ่มเดินหลังค่อมเพื่อปกปิด ซึ่งเราก็ยังเดินหลังค่อมมาจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นสิ่งที่เรายังแก้ไม่หาย เหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่าไป มันอาจจะดูไม่มีอะไร ก็แค่เด็กคนนึงที่เจอเรื่องน่าอายแค่นั้นเอง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดมันทำให้เราเริ่มหมดความมั่นใจ เริ่มกลัวที่จะแตกต่าง กลัวว่าจะทำอะไรผิดพลาด และน่าอายออกไป เรื่องที่ 2 ที่อยากจะพูดคือการที่เราชอบแคร์สายตาของคนอื่นมากเกินไป ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะไม่มีใครมาสนใจเราเลยก็ได้ แต่เราก็จะคิดไปเองว่าเขาต้องมองเราแบบนี้ ๆ แน่เลย เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก เพราะเรากลัวไปเองว่าคนอื่นจะมองเราไม่ดี แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้ที่เราเริ่มใส่หน้ากากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง แม่จะทักเราตลอดว่า “ทำไมเวลาอยู่กับเพื่อนต้องเก๊กด้วย” เพราะเวลาอยู่กับเพื่อน (ที่ไม่ได้สนิทเท่าไหร่) เราจะไม่ค่อยพูด จะนิ่ง ๆ ไม่ทำตัวเหมือนเวลาอยู่บ้าน ที่เราจะเล่น เต้น พูดนู่นพูดนี้ แล้วก็ทำตัวติงต๊องไปเรื่อย ซึ่งเป็นนิสัยจริง ๆ ของเรา เราก็กลับมาคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่มใส่หน้ากากเวลาอยู่กับเพื่อน ไม่เป็นตัวเองเวลาอยู่ที่โรงเรียน คงเป็นเพราะเราเคยเป็นตัวเองกับเพื่อนแล้วโดนเพื่อนหาว่า เอ๋อ ไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้ ทำให้เราเก็บทุกอย่างไว้ แล้วเหตุการณ์นี้มันยิ่งซ้ำเติมจากที่เราแคร์สายตาของคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เราคิดตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไร ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา เขาจะชอบหรือไม่ชอบที่เราทำตัวแบบนี้ (เข้าขั้นโรคจิตเลยก็ว่าได้) ทำให้เราเลือกที่จะทำตัวอีกแบบเวลาอยู่กับเพื่อน เพราะคิดว่าเพื่อนคงชอบมากกว่าถ้าเราเป็นแบบนี้ ทำให้เราไม่กล้าเป็นตัวเองอีกเลยเวลาอยู่ที่โรงเรียน จากทั้งหมดที่เล่ามา ทั้งเรื่องการขาดความมั่นใจ และการแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป ส่งผลให้เราเป็นคนไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่ไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง เพราะมัวแต่ไปแคร์สายตาคนอื่น ไม่กล้าลงมือ ลองทำอะไรใหม่ ๆ แม้แต่สิ่งที่เราชอบ ที่เราอยากทำ เราก็ไม่ทำ ทั้งที่ช่วงวัยเรียนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการค้นหาตัวเอง หาว่าเราชอบอะไร ทำให้เราเติบโต และรู้จักตัวเองมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมหาลัย และอื่น ๆ เราไม่ได้ออกจาก Comfort Zone และปลดปล่อยตัวเองในช่วงมัธยมที่ผ่านมาเลย ซึ่งสำหรับเราแล้วมันเป็นความเสียดายที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ และเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว ป.ล. แต่เราเริ่มรู้ตัวตอนช่วงขึ้น ม.5 นะ ถึงจะบอกกับตัวเองว่า “ขึ้น ม.5 แล้ว ชั้นจะลองทำทุกอย่างที่ขวางหน้า จะใช้ชีวิต ม.5 ให้เต็มที่ที่สุด!!!!” แต่สุดท้าย ม.5 ก็เรียนออนไลน์แทบทั้งปี กิจกรรมในโรงเรียนเราก็ได้ทำน้อยมาก ๆ อยู่ดี 555+ แต่เราก็เสียดายช่วง ม.4 ม.3 นะ ช่วงที่ยังได้มาโรงเรียน TT

ข้อคิด/บทเรียนที่ได้จากเรื่องนั้น

เราอยากบอกกับเด็ก ๆ ทุกคนว่า ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม ขอให้รักษาความมั่นใจของตัวเอง ความเป็นตัวเองเอาไว้ อย่าเอาเรื่องราวน่าอาย เหตุการณ์แย่ ๆ ความผิดพลาดต่าง ๆ มาทำให้เราเสียความมั่นใจ หรือเสียความเป็นตัวเองไป อย่าให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เป็นตัวถ่วงเราจากโอกาสมากมายในอนาคต คิดเอาไว้เสมอว่า “เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวคนอื่นก็ลืม” พอเราโตขึ้นแล้วกลับมาย้อนดู มันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในวัยเด็ก ที่เราไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดเลยก็ได้ แต่เราก็เข้าใจว่าบางเรื่องมันก็หนักหนา และยากที่จะลืมจริง ๆ แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่เรามองว่ามันแย่มาก มันน่าอายมากในตอนนั้น หรือตอนนี้ พอเราโตขึ้น เราก็จะมองมันเป็นเรื่องตลก เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราโตขึ้น อย่าไปมองว่ามันเป็นตราบาป ที่เราต้องจมไปกับมัน เราอยากให้ทุกคนเก็บเรื่องแย่ ๆ ทุกอย่างมาเป็นประสบการณ์ และบทเรียน ถ้าพลาดแล้วก็ไม่เป็นไรลุกขึ้นแล้วเริ่มใหม่ หรือถ้ามันเป็นสิ่งที่คนอื่นทำกับเรา ก็ไม่ต้องไปสนใจ อย่าเสียความมั่นใจในตัวเองไป เพียงเพราะคำพูดของคนอื่น รักตัวเองให้มาก ๆ เราไม่อยากให้น้อง ๆ เสียโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปแบบเรา เราไม่จำเป็นต้องแคร์สายตาคนอื่นว่าเขาจะคิด จะมองเราเป็นยังไง อยากทำอะไรก็ทำ อยากลองอะไรลองเลย ทำให้เต็มที่แบบไม่ต้องมานั่งเสียใจที่หลัง อย่าพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งที่อยากทำ เพียงเพราะว่า ไม่มีความมั่นใจ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง หรือถ้าทำแล้วจะโดนเพื่อนตัดออกจากกลุ่ม ถ้าเป็นแบบนั้นเลิกคบเพื่อนไปเลย!!!! เราอยากให้เด็ก ๆ ทุกคน รักในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งตัวแต่เป็นทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความฝัน ความเป็นตัวตนของเรา เราไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นอย่างอื่น เพื่อให้คนอื่นพอใจ สุดท้ายคำพูดที่บอกว่า “เราควรใช้ชีวิตมัธยมให้เต็มที่” เราก็เป็นคนกำหนดเอง คำว่า “เต็มที่” ของบางคนอาจจะเป็นการได้ทำกิจกรรมเยอะ ๆ หรือบางคนอาจจะเป็นการได้อยู่กับเพื่อน หรือบางคนอาจจะไม่ได้มีอะไรมาก แค่มีความสุขกับการเรียน ได้ทำสิ่งที่อยากทำก็เพียงพอแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วมาก เรายังจำวันแรกที่ขึ้น ม.1 ได้อยู่เลย แต่ตอนนี้เราจะขึ้น ม.6 แล้ว ดังนั้นเราอยากให้ข้อคิดกับทุก ๆ คนว่า จงใช้ชีวิตให้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ชีวิตในช่วงมัธยมเท่านั้น แต่เป็นทั้งชีวิตของเรา อย่าปิดกั้นตัวเองจากโอกาสดี ๆ มากมายเพียงเพราะ ไม่มีความมั่นใจ ขี้อาย หรือกลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไง อยากทำอะไรทำเลย อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปฝืนทำ ชีวิตของเราเราเองเลือกได้ เวลามันผ่านไปแล้วมันย้อนกลับมาไม่ได้นะ จงใช้ชีวิตแบบที่พอหันกลับมามอง เราจะไม่เสียดายกับเวลา และสิ่งที่เราเลือกทำ เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ