Your Story

เพื่อนในโรงเรียนประจำ

ชื่อ: aiun

นามปากกา: aiunisaiiaoon

ต้องบอกก่อนเลยว่าเราอ่ะอยู่โรงเรียนนี้มาประมาณ 11 ปีตั้งแต่อนุบาลเลย สิ่งที่อยากแชร์ก็คือด้วยความที่สังคมในโรงเรียนประจำกับโรงเรียนปกติทั่วไปมันค่อนข้างที่จะต่างกันมาก ๆ ไม่ว่าจะเรื่องสังคมเพื่อน ครอบครัว การเรียน การใช้ชีวิต อย่างแรกเลยนะ "เพื่อน" เราตอนเด็กอ่ะค่อนข้างที่จะเป็นคนที่เฟรนลี่มาก ๆ เป็นคนที่มีเอนเนอร์จี้ล้นตลอดเวลา พ่อเริ่มเข้า ป.1 ก็เริ่มมีความเครียดเพราะตัวเราไม่ใช่คนเก่งตั้งแต่เด็ก อ่านหนังสือไม่ออกไม่ค่อยจะสนใจไขว่คว้าเท่าไหร่ ทุก ๆ เสาร์อาทิตย์พ่อเราจะมาหาเพื่อที่จะให้เราอ่านหนังสือ แต่ความรู้สึกเราตอนนั้นมันมีคำถามเต็มหัวไปหมดเลยว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไปเล่นแบบเพื่อน ๆ บ้าง จนวันนึงอ่ะเราร้องไห้หนักมากและไม่อยากให้พ่อเรามาหาแล้ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มไขว้คว้าอะไรต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่ว่าช่วงประถมปลายก็โดนบุลลี่เรื่องรูปลักษณ์หน้าตา เรื่องการเรียนการสอบทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเองจนถึงตอนนี้เลย แม้แต่คนไกล้ตัวเราเข้าใจนะว่าผู้ใหญ่บางคนเค้าแค่อยากแซวเล่นกับเราแต่พอมันเยอะขึ้น มันเริ่มทำให้เรากลับมาคิดว่า เห้ยหรือมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ตอนม.ต้นก็ถูกเพื่อนทั้งห้องคว่ำบาตร แต่โชคก็เข้าข้างเราอยู่บ้างเพราะมันกลับทำให้เรากับพี่ ๆ กลุ่มสนิทกันมากขึ้น ตอนนั้นยอมรับเลยว่าไม่เหลือใครนอกจากพี่ ๆ ที่คอยเข้าใจให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ หลังจากโดนบุลลี่ครั้งนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้นิสัยเพื่อนมากมาย ว่าใครที่เชื่อใจได้หรือใครที่ควรถอยออกมา หลังจากนั้นชีวิตเราก็เริ่มดีขึ้นในเรื่องของเพื่อน แต่จิตใจเรากลับแย่ลงเพราะหลังจากที่เกิดเรื่องมันทำให้เราระเเวงไม่กล้าพูด เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้มากเกินไป จนวันนึงมันเก็บไว้ไม่ไหว วันนั้นเราเกิดอาการชักเกร็งเพราะความเครียดสะสมแต่ภาพที่เราเห็นตอนนั้นคือทั้งเพื่อนที่เราไม่ชอบทุกคนเข้ามาช่วยเรา มันเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่าคำว่า “เพื่อน” ในโรงเรียนประจำครั้งแรก ถึงบางครั้งพวกเขาจะนิสัยไม่ดีใส่เราไปบ้างแต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าก็ยังมีคนที่รักอยู่ วันสุดท้ายของม.ต้นของเราเป็นวันที่มีความสุขมาก ๆ เพราะทุกคนคุยกันและได้นั่งหัวเราะไปพร้อม ๆ กันพอนึกถึงก็ทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าที่คิดมาก ๆ เรื่อง "ครอบครัว" หลังจากที่เราออกมาต่อม.ปลายโรงเรียนอื่น มันเหมือนจุดเปลี่ยนในหลาย ๆ เรื่องเลย เราต้องปรับตัวเยอะมากไม่ว่าจะเรื่องเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ครอบครัว แล้วด้วยความที่เราโตมากับน้า ตา ยาย มันทำให้เราไม่ค่อยสนิทกับพ่อเเม่ พอเรามาต่อม.ปลายเราก็ต้องมาอยู่กับพ่อ ด้วยความที่เรื่องก่อนหน้านี้ที่เจอเราไม่เคยเล่าให้พ่อฟังเลยฉะนั้นเค้าจะไม่ค่อยรู้อ่ะไรเกี่ยวกับเราเท่าไหร่ พอออกมาอ่ะเราก็ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อด้วยความที่บางช่วงของชีวิตที่เด็กโรงเรียนปกติเจอหรือได้รับเราไม่ได้มีตรงนั้นแต่เราไม่ได้หมายความว่าเค้าทิ้งเรานะแต่ประสบการณ์บางอย่างมันเสียไป เราก็ทำตัวปกติก็คุยเล่นกับพ่อแต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่พูดนิ่ง ๆ เรียบ ๆ มันเลยดูเหมือนไม่ค่อยพอใจตลอดเวลา หลังจากนั้นเราเริ่มทะเลาะกับพ่อบ่อยขึ้นจนมันเกือบทำให้อาการที่เคยชักเกร็งกับมาเลย เเต่เราก็พยายามผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยความคิดที่ว่า "ยังมีคนอีกเยอะนะที่ยังอยากอยู่ข้าง ๆ เรา" สุดท้ายมันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น "การเรียน" เรื่องการเรียนของเราตอนม.ปลายอ่ะพูดได้ว่าเราพยายามมาก ๆ ด้วยความที่เราไม่ใช่คนที่เก่งมันทำให้เราต้องพยายามมากขึ้น เราคิดแค่ว่า "ถ้าคนที่เก่งอ่าน 1 รอบแล้วเข้าใจเราต้องอ่านต้องอ่าน 2 ครั้ง ถ้าคนเก่งอ่าน 3 ครั้งเราต้องอ่าน 4 ครั้ง" ซึ่งมันก็ได้ผล เราใช้วิธีในการสอบไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา เรามีเวลาเตรียมตัว 2 อาทิตย์ก่อนสอบแต่สุดท้ายเราก็ทำได้สำเร็จ แต่ด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายทำให้เราต้องสละสิทธ์ไป ช่วงนั้นเราร้องไห้ติดกันเป็นอาทิตย์เลย เราอยากฝากข้อคิดไว้ว่า "การที่เราร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอนะทุกคนถ้าอยากร้องก็ร้องเลยอย่าเก็บไว้ แต่ถึงจุดนึงเราต้องตั้งกรอบว่าจะกลับไปใช้ชีวิตให้มีความสุขต่อให้ได้" ++++ ทุกเรื่องที่เราเล่ามาไม่ใช่ว่าทุกคนจะเจอนะ เราเชื่อว่าบางคนอาจจะเรื่องที่เหมือน ๆ กับเราบางคนเจอเรื่องที่หนักกว่าก็มี แค่ถอยมาพักบ้างแล้วเดินต่อไปแต่อย่าหยุดเดินนะเราเชื่อว่าไม่ว่าเรื่องอะไรทุกคนมีวิธีการจัดการที่ดีเสมอ Thanks for reading+++

ข้อคิด/บทเรียนที่ได้จากเรื่องนั้น

สุดท้ายก็อยากจะบอกว่าทุก ๆ คนต่างก็มีเรื่องที่ต่างกันและวิธีการที่จัดการที่ต่างกันไป เราแค่ไม่อยากให้ทุกคนยอมแพ้กับทุกอุปสรรคที่เกิดขึ้น แค่ถอยมาพักและเดินต่อ อย่าหยุดนะ เราเชื่อว่าทุกเรื่องร้าย ๆ มันจะมีเรื่องดี ๆ ซ่อนอยู่เสมออาจจะมากหรอน้อยแต่พยายามหามันให้เจอนะ เป็นกำลังใจให้นะ 加油